รังไหมถูก เริ่มแรกเดิมทีก็เป็นความรู้ที่แพร่มาจากญี่ปุ่น ภายหลังนักวิชาการไทยหลายสำนักได้พากันวิจัยค้นคว้าและพัฒนาออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ไม่ด้อยคุณภาพกว่าของนำเข้าเลย เช่น เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ทำความสะอาดผิวหน้า หรือเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีส่วนผสมของรังไหมสีทอง เช่น สบู่ไหมทอง แปรงขนนุ่มสำหรับล้างหน้าทำจากไหมทอง เป็นต้น
- นำรังไหมอ่อนนุ่มเป็นปุยมาสวมเป็นปลอกนิ้วกลางและนิ้วนาง ขัดหน้าเบา ๆ
- โดยการหมุนวนทั่วหน้าผาก ขัดเบา ๆ รอบเปลือกตาและถุงใต้ตา แก้ม และลำคอ
ความอ่อนโยนของวัสดุจากธรรมชาติจะไม่ทำร้ายผิว
- ถ้าต้องการทำความสะอาดลึกอีกขั้น อาจใช้โฟมร่วมในการขัดผิว
- หากต้องการบำรุงสามารถใช้ครีมร่วมด้วยเช่นกัน สปาบางแห่งนำมาใช้กับแชมพูเพื่อนวดศีรษะ ซึ่งหากใครจะลองทำดูก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด
การนวดเบา ๆ ด้วยรังไหมอย่างบรรจงนี้ นอกจากจะให้ผิวแต่ละส่วนได้ผ่อนคลายแล้ว ยังช่วยในการไหลเวียนของเลือด ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าซึ่งเป็นการช่วยลดการหมักหมมของเซลล์ที่เสื่อมสภาพ ราคาก็แสนย่อมเยา เรียกว่าสวยคับคุณภาพ แถมธรรมชาติอยู่ครบอีกด้วย
• มีสารช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง ลดการอักเสบของผิวพรรณ
• ขจัดสิวเสี้ยน
• ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ลดการเกิดเม็ดสี
• ช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม สดใส เปล่งปลั่ง กระชับ
รังไหมประกอบด้วยกรดอะมิโน 18 ชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระ และสารช่วยขจัดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังบางชนิด กรดอะมิโนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในร่างกายมนุษย์ และมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ดีมาก จึงนิยมใช้เป็นสารเติมความชุ่มชื่นในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ประโยชน์รังไหมมีกรดอะมิโน 18 ชนิด ที่ตรงกับที่พบในร่างกายมนุษย์ ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงคอลลาเจน ช่วยคืนความชุ่มชื่นให้กับเซลล์ผิว
วิธีใช้งาน
1สำหรับผิวหน้า ล้างหน้าให้สะอาดเช็ดหน้าหมาดๆ นำรังไหม 2 รังมาแช่ในน้ำอุ่นซักครู่ แล้วจึงนำรังไหมมาสวมนิ้วและนวดหน้าในขณะที่รังไหมเปียก นวดนาน 3-5 นาที ครบกำหนดไม่ต้องล้างหน้าซ้ำอีก สามารถทาครีมบำรุงผิวตามได้เลย
2สำหรับผิวกาย นำรังไหมแช่ในอ่างอาบน้ำ แล้วแช่ผิวกายอย่างน้อย 10-15 นาที เมื่อครบกำหนดให้นำรังไหมสวมในนิ้วมือทั้ง 10 นิ้วมือ นวดให้ทั่วตัว หรือบริเวณที่แห้งและหยาบกร้าน เช่น ข้อศอก เข่า